top of page
รู้เรื่องสุขศึกษา

2.1 ลักษณะการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และพัฒนาการทางเพศ

            2.1.1. การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย 

น้ำหนักและส่วนสูง จะมีอัตราเพิ่มสูงสุด (growth spurt) เด็กหญิงจะมีน้ำหนักเพิ่มถึงปีละ 4-5 กิโลกรัม เด็กชายเพิ่มปีละ 5-7 กิโลกรัม ความสูงมีอัตราเพิ่มสูงสุดเช่นกัน โดยเด็กหญิงจะสูงปีละ 6-7 เซนติเมตร เด็กชายสูงปีละ 7-9 เซนติเมตร 
การเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบต่างๆ ของร่างกาย ได้แก่ กล้ามเนื้อและกระดูกแขนขา มีอัตราเพิ่มสูงสุดเช่นกัน มีการเพิ่มประมาณของโปแตสเซียมในร่างกาย ปริมาณน้ำในเซลล์ ขนาดของปอด หัวใจ ปริมาณของเม็ดเลือด และฮีโมโกลบิน 
การเจริญเติบโตของอวัยวะสืบพันธุ์และการเกิดลักษณะเพศ มีลำดับดังนี้ 
ในเด็กหญิง
มีการเจริญเติบโตของเต้านม เริ่มอายุ 9-11 ปี 
ขนที่หัวหน่าว เริ่มอายุ 11-12 ปี 
น้ำเมือกจากช่องคลอดเปลี่ยนฤทธิ์จาก
ด่างเป็นกรด เริ่มอายุ 11-12 ปี  
ขนรักแร้ เริ่มอายุ 12-14 ปี 
ประจำเดือนครั้งแรก เริ่มอายุประมาณ 12 ปี  

ลักษณะเพศอย่างแรกที่เปลี่ยนแปลงให้เห็นได้ในเด็กหญิง คือ การเจริญเติบโตของเต้านมโดยการเกิด breast buds คือ การเจริญของหัวนมและลานนม และหลังมีประจำเดือนแล้ว เด็กหญิงจะสูงขึ้นได้อีกประมาณ 6-12 เซนติเมตร

ในเด็กชาย 
มีการเพิ่มของขนาดลูกอัณฑะและถุงอัณฑะ เริ่มอายุ 10-12 ปี 
ต่อมลูกหมากเริ่มทำงาน เริ่มอายุ 11-12 ปี 
นมแตกพาน เริ่มอายุ 13-14 ปี 
มีขนที่หัวหน่าวและรักแร้ เริ่มอายุ 14-16 ปี 
เสียงห้าว เริ่มอายุ 14-16 ปี 
ตัวอสุจิโตเต็มที่ เริ่มอายุ 14-16 ปี  

1

ระบบสืบพันธุ์

         การสืบพันธุ์แบงออกเป็น 2 ประเภทคือ การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศและการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ ในคนมีเฉพาะการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศที่  การปฏิสนธิ ซึ่งก็ คือ การสืบพันธุ์ที่จำเป็นต้องใช้เซลล์สืบพันธุ์และมีการปฏิสนธิ (รวมกัน)ของเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้และเพศเมีย

 

ระบบสืบพันธุ์เพศชาย


 เซลล์สืบพันธุ์เพศชาย คือ sperm มีองค์ประกอบต่างๆดังนี้ 1.acrosome ทำหน้าที่บรรจุenzyme ที่ใช้ย่อยเปลือกของไข่ 2. Nucleus เก็บสารพันธุกรรมจากพ่อ  ที่จะถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมไปให้ลูกหลาน 3. Spiral mitochondria ทำหน้าที่สร้างพลังงานนให้sperm 4.Microtubule tail ทำหน้าที่สะบัด
 ทำให้spermสามารถเคลื่อนที่ได้

 อวัยวะที่สำคัญในระบบสืบพันธุ์เพศชาย ประกอบด้วย


 1. อัณฑะ (Testis) เป็นต่อมเพศชองชายทำหน้าที่ผลิตตัวอสุจิ (Sperm) และสร้างฮอร์โมนเพศชาย อัณฑะมี 2 ข้าง ภายในประกอบด้วยหลอดสร้างตัว  อสุจิ (Somniferous tubules) มีลักษณะเป็นท่อเล็ก ๆ ขดเรียงกันอยู่มากมาย ทำหน้าที่สร้างตัวอสุจิ นอกจากนั้นภายในอัณฑะยังมีleydig cell ทำ  หน้าที่สร้างฮอร์โมนเพศชายเพื่อควบคุมลักษณะต่าง ๆ ของเพศชาย เช่น เสียงห้าว มีหนวดเครา เป็นต้น
 อัณฑะบรรจุอยู่ภายในถุงอัณฑะ (Scrotum) ซึ่งทำหน้าที่ปรับอุณหภูมิให้ต่ำกว่าอุณหภูมิของร่างกายประมาณ 3-5 องศาเซลเซียส (ประมาณ 34 องศา  เซลเซียส) ให้เหมาะสมแก่การเจริญเติบโตของตัวอสุจิ
 2. หลอดเก็บตัวอสุจิ (Epididymis) เป็นที่พักของตัวอสุจิที่สร้างจากหลอดสร้างหลอดอสุจิ หลอดเก็บตัวอสุจิจะอยู่ด้านบนของอัณฑะต่อเชื่อมกับ  หลอดนำตัวอสุจิ
 3. ท่อนำตัวอสุจิ (Vas deferens) อยู่ต่อจากหลอดเก็บตัวอสุจิ ทำหน้าที่ลำเลียงตัวอสุจิไปเก็บไว้ที่ต่อมสร้างน้ำเลี้ยงอสุจิ
 4. ต่อมสร้างน้ำเลี้ยงตัวอสุจิ (Seminal vesicle) อยู่ต่อจากหลอดนำตัวอสุจิ ทำหน้าที่สร้างสารอาหารสำหรับเลี้ยงตัวอสุจิ ได้แก่ น้ำตาลฟรักโทส  วิตามินซี โปรตีนโกลบูลิน และสร้างของเหลวเพื่อทำให้เกิดสภาพที่เหมาะสมกับตัวอสุจิ
 5. ต่อมลูกหมาก (Prostate gland) อยู่บริเวณตอนต้นของท่อปัสสาวะ ทำหน้าที่สร้างสารที่เป็นเบสอ่อน ๆ เข้าไปในท่อปัสสาวะปนกับน้ำเลี้ยงตัวอสุจิ  เพื่อลดความเป็นกรด เพื่อให้เกิดสภาพที่เหมาะสมสำหรับตัวอสุจิ
 6. ต่อมคาวเปอร์ (Cowper’s gland) อยู่ใต้ต่อมลูกหมาก ทำหน้าที่สร้างน้ำเมือกหล่อลื่นในท่อปัสสาวะ เพื่อให้ตัวอสุจิเคลื่อนตัวได้สะดวกและเร็วขึ้น

 การสร้างตัวอสุจิและการหลั่งน้ำอสุจิ มีรายละเอียดดังนี้


      เริ่มจากหลอดสร้างตัวอสุจิซึ่งอยู่ภายในอัณฑะสร้างตัวอสุจิออกมา ถูกนำไปพักไว้ที่หลอดเก็บตัวอสุจิ จนตัวอสุจิแข็งแรงพร้อมที่จะปฏิสนธิ แล้วถูก  ลำเลียงไปตามหลอดนำตัวอสุจิเพื่อนำไปเก็บไว้ที่ต่อมสร้างน้ำเลี้ยงอสุจิ เมื่อถูกกระตุ้นให้หลั่งน้ำอสุจิ น้ำอสุจิจะถูกขับออกมาทางท่อปัสสาวะและออก  จากร่างกายตรงปลายสุดของอวัยวะเพศชาย ซึ่งต่อมลูกหมากจะหลั่งสารเข้าผสมกับน้ำเลี้ยงตัวอสุจิเพื่อปรับสภาพใหเหมาะสมกับตัวอสุจิ และต่อม  คาวเปอร์จะสร้างเมือกหล่อลื่นในท่อปัสสาวะเพื่อให้ตัวอสุจิเคลื่อตัวได้เร็วขึ้น
 โดยทั่วไปเพศชายจะเริ่มสร้างตัวอสุจิเมื่ออายุประมาณ 12-13 ปี และสร้างไปจนตลอดชีวิต การหลั่งน้ำอสุจิออกมาแต่ละครั้งจะมีของเหลวออกมาเฉลี่ย  ประมาณ 3-4 ลูกบาศก์เซนติเมตร และมีตัวอสุจิเฉลี่ยประมาณ 350-500 ล้านตัว ซึ่งปริมาณน้ำอสุจิและตัวอสุจิอาจแตกต่างไปตามความสมบูรณ์แข็ง  แรงของร่างกาย เชื้อชาติ และสภาพแวดล้อม สำหรับชายที่เป็นหมันจะมีตัวอสุจิน้อยกว่า 30-50 ล้านตัวต่อ 1 ลูกบาศก์เซนติเมตร หรือมีตัวอสุจิที่ผิด  ปรกติมากกว่าร้อยละ 25 ตัวอสุจิเมื่อออกจากร่างกายจะมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง แต่ถ้าอยู่ในมดลูกของเพศหญิงจะอยู่ได้ประมาณ 24-48    ชั่วโมง






 

 ระบบสืบพันธุ์เพศหญิง



 เซลล์สืบพันธุ์เพศหญิง คือ egg/ovum มีองค์ประกอบต่างๆดังนี้ 1.zona pellucida ห่อหุ้มและปกป้องไข่ และป้องกัน polyspermy อีกด้วย 2. Corona radiata  ทำหน้าที่ห่อหุ้มไข่ 3. Nucleusเก็บสารพันธุกรรมจากแม่ที่จะถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมไปให้ลูกหลาน
 อวัยวะที่สำคัญในระบบสืบพันธุ์เพศหญิง ประกอบด้วย
 1. รังไข่ (Ovary)
 มีรูปร่างคล้ายเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ยาวประมาณ 2 – 3 เซนติเมตร หนา 1 เซนติเมตร มีน้ำหนักประมาณ 2 – 3 กรัม และมี 2 อัน อยู่บริเวณปีกมดลูกแต่ละข้าง ทำหน้าที่ดังนี้

1.1 ผลิตไข่ (Ovum) ซึ่งเป็นเซลล์สืบพันธุ์เพศหญิง โดยปรกติไข่จะสุกเดือนละ 1 ใบ จากรังไข่แต่ละข้าสลับกันทุกเดือน และออกจากไข่ทุกรอบเดือนเรียกว่า การตกไข่ ตลอดช่วงชีวิตของเพศหญิงปรกติจะมีการผิตไข่ประมาณ 400 ใบ คือเริ่มตั้งแต่อายุ 12 ปี ถึง 50 ปี จึงหยุดผลิต เซลล์ไข่จะมีอายุอยู่ได้ประมาณ 24 ชั่วโมง

1.2 ร้างฮอร์โมนเพศหญิง ซึ่งมีอยู่หลายชนิด ที่สำคัญได้แก่

1) เอสโตรเจน (Estrogen) เป็นฮอร์โมนที่สร้างจากฟอลลิเคิล ทำหน้ามี่ควบคุมเกี่ยวกับมดลูก ช่องคลอด ต่อมน้ำนม และควบคุมการเกิดลักษณะต่าง ๆ ของเพศหญิง เช่น เสียงแหลมเล็ก ตะโพกผาย หน้าอกและอวัยวะเพศขยายใหญ่ขึ้น เป็นต้น

2)โปรเจสเตอโรน (Progesterone) เป็นฮอร์โมนที่สร้างจากคอร์ปัส ลูเทียม ทำงานร่วมกับเอสโตรเจนในการควบคุมเกี่ยวกับการเจริญของมดลูก การเปลี่ยนแปลงเยื่อบุมดลูกเพื่อเตรียมรับไข่ที่ผสมแล้ว

 2. ท่อนำไข่ (Oviduct) หรือ ปีกมดลูก (Fallopian) เป็นทางเชื่อมต่อระหว่างรังไข่ทั้งสองข้างกับมดลูก ภายในกลวง มีเส้นผ่านศูนย์ประมาณ 2 มิลลิเมตร มีขนาดปรกติเท่ากับเข็มถักไหมพรหม ยาวประมาณ 6 – 7 เซนติเมตร หนา 1 เซนติเมตร ทำหน้าที่เป็นทางผ่านของไข่ที่ออกจากรังไข่เข้าสู่มดลูก โดยมีปลายข้างหนึ่ง  อยู่ใกล้กับรังไข่เรียกว่า ปากแตร (Funnel)บุด้วยเซลล์ที่มีขนสั้น ๆ ทำหน้าที่พัดโบกไข่ที่ตกลงมาจากรังไข่ให้เข้าไปในท่อนำไข่ ท่อนำไข่เป็นบริเวณที่อสุจิจะเข้าปฏิสนธิกับไข่
3. มดลูก (Uterus) มีรูปร่างคล้ายผลชมพู่ หรือรูปร่างคล้ายสามเหลี่ยมหัวกลับลง กว้างประมาณ 4 เซนติเมตร ยาวประมาณ 6 – 8 เซนติเมตร หนาประมาณ 2 เซนติเมตร อยู่ภายในกระดูกเชิงกราน ระหว่างกระเพาะปัสสาวะกับทวารหนัก ภายในเป็นโพรง ทำหน้าที่เป็นที่ผังตัวของไข่ที่ได้รับการผสมแล้ว และเป็นที่เจริญเติบโตของทารกในครรภ์
4. ช่องคลอด (Vagina) อยู่ต่อจากมดลูกลงมา ทำหน้าที่เป็นทางผ่านของตัวอสุจิเข้าสู่มดลูก เป็นทางออกของทารกเมื่อครบกำหนดคลอด และยังเป็นช่องให้ประจำเดือนออกมาด้ว

bottom of page